Citigroup (#Citigroup) – กลุ่มการเงินที่มีมูลค่าตลาดกว่า 146 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกคาดว่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาสสิ้นสุดเดือนกันยายน 2021 ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ก่อนตลาดเปิด โดย Zacks คาดการณ์ ผลตอบแทนต่อหุ้น ของบริษัทไว้ที่ 1.77 ดอลลาร์ ต่ำกว่าผลตอบแทนในสามไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ 1.4 ดอลลาร์ต่อหุ้น ขณะที่คาดการณ์ ยอดขาย สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 17.11 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าสองไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่า 17.3 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับการเติบโตของยอดขายบริษัทลดลง -15.2% ในปีที่ผ่านมา และ -9.02% ในไตรมาสก่อน
สำหรับรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ในสัปดาห์นี้ โฟกัสจะอยู่ที่กลุ่มธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Wells Fargo, Bank of America, JPMorgan Chase และ Citigroup ที่คาดว่าจะมีกำไรรวมกันอยู่ที่ 33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตามภาคการเงินการธนาคารกำลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งสำคัญ เนื่องจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น และปัญหาคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน กำลังส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ซึ่งนำไปสู่ภาวะ Stagflation หรือเศรษฐกิจซบเซาที่มาพร้อมเงินเฟ้อที่ถูกกระตุ้นด้วยราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น จึงต้องจับตารายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือนกันยายน ในวันพุธ ที่ 13 ตุลาคม (ก่อนรายงานไตรมาส 3 ของบริษัท) ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 0.3% ต่อเดือนและ 5.3% ต่อปี
แม้ตัวเลขจ้างงานเดือนกันยายนจะต่ำสุดในปีนี้ แต่หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง ก็อาจนำไปสู่การลด QE ในเดือนพฤศจิกายน และปรับเพิ่มดอกเบี้ยในปีหน้า ตามการส่งสัญญาณของ Fed ก่อนหน้านี้ ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจการเงินการธนาคาร ที่จะส่งผลให้ความต้องการด้านสินเชื่อลดลง (แต่ชดเชยด้วยรายได้จากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น) ทั้งนี้การส่งสัญญาณของ Fed สอดคล้องกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ การเลื่อนพิจารณาเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ และปัญหาหนี้ของ Evergrande รวมถึงการปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีของจีน ก็ถือเป็นปัจจัยความไม่แน่นอนของภาคธุรกิจการเงินการธนาคารในช่วงที่เหลือของปี
สำหรับแนวโน้มราคาหุ้นของ #Citigroup ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้เพิ่มขึ้น 14.56% และเฉพาะในไตรมาสปัจจุบันเพิ่มขึ้นมา 3.62% อย่างไรก็ตาม ในมุมมองเทคนิคอลราคาหุ้นของบริษัทกำลังทำเทรนด์ต่ำลงจากไตรมาสก่อน หลังจากที่พยายามแต่ไม่สามารถผ่านโซนแนวต้าน 74.00 และสัปดาห์นี้ก่อนรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ราคาได้ลดลงมาทดสอบเส้น MA20 (ติดกับเส้น MA200) อีกครั้งที่ราคา 70.68 ซึ่งหากผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวัง ราคาอาจทะลุลงไปสู่เป้าหมายแนวรับ 66.00 และด้วยแนวโน้มการขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed อาจส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทลงสู่โซน low ของปี ที่ 57.00 อีกครั้ง ในทางกลับกัน หากผลประกอบการออกมาดี จะมีเป้าหมายขาขึ้นสำคัญที่ 74.00
คลิกเพื่อดู ปฏิทินเศรษฐกิจ หรือ สัมมนาออนไลน์ฟรี
Chayut Vachirathanakit
Market Analyst – HF Educational Office – Thailand
คำเตือน: เนื้อหานี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อการสื่อสารการตลาดทั่วไป เพื่อเป็นการให้ข้อมูลข่าวสารเท่านั้น และไม่ถือเป็นการวิจัยเพื่อการลงทุนอิสระ ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของการสื่อสารนี้ที่ประกอบด้วย หรือควรถูกพิจารณาว่าประกอบด้วย คำแนะนำการลงทุน หรือการชักชวนลงทุน หรือการชักชวนเพื่อวัตถุประสงค์ของการซื้อหรือขายตราสารทางการเงินใดๆ ข้อมูลทั้งหมดถูกรวบรวมจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และทุกข้อมูลประกอบด้วยตัวบ่งชี้ผลงานในอดีต ไม่ได้เป็นการรับประกันหรือเป็นตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือสำหรับผลงานในอนาคต ผู้ใช้พึงทราบว่าการลงทุนใดๆ ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Leveraged มีความไม่แน่นอนในระดับหนึ่ง และการลงทุนในลักษณะนี้มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่สูง ซึ่งผู้ใช้ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ทางเราไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆ ที่เกิดจากการลงทุนโดยใช้ข้อมูลที่เกิดจากการสื่อสารนี้ การสื่อสารนี้จะต้องไม่ถูกผลิตซ้ำหรือแจกจ่ายต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเรา