Coca-Cola Co (#Coca-Cola) และ PepsiCo, Inc. (#Pepsi) สองบริษัทยักษ์ใหญ่คู่แข่งตลอดกาลด้านเครื่องดื่มโคล่า มีกำหนดรายงานผลการดำเนินงานไตรมาสสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2021 ก่อนตลาดเปิดทำการใน วันพฤหัสบดี ที่ 10 กุมภาพันธ์
#Coca-Cola ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มรายใหญ่สุดของของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าราคาตลาดอยู่ที่ $266 พันล้าน คาดว่าผลตอบแทนต่อหุ้น (EPS) ในไตรมาสสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2021 จะทำสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2018 โดย Zacks คาดการณ์ไว้ที่ $0.4 ต่อหุ้น ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ $0.47 สะท้อนถึงการลดลงต่อปีที่ -14.89% ขณะที่อุตสาหกรรมเดียวกันโตขึ้น 44.49% และ S&P 500 โตขึ้น 44.05% เช่นเดียวกับตัวเลขคาดการณ์ยอดขาย ที่แม้จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย ที่ $8.9 พันล้าน เทียบกับ $8.61 พันล้าน แต่กลับต่ำกว่าทุกไตรมาสของปี 2021 จาก $10 พันล้าน, $10.1 พันล้าน และ $9 พันล้านตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สำหรับผลตอบแทนต่อหุ้นในอดีต บริษัทมักทำผลงานได้ดีเกินคาดเสมอ โดยเฉพาะห้าไตรมาสล่าสุดที่เกินคาดมากกว่า 10%
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในช่วงไตรมาสที่ 4 ของ Coca-Cola คือการเข้าซื้อหุ้นอีก 70% ที่เหลือของ BodyArmor (มูลค่า $5.6 พันล้าน) ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นยี่ห้อเครื่องดื่มแคลอรีต่ำสำหรับนักกีฬา ที่ Coca-Cola เคยเข้าถือหุ้น 30% ในปี 2018 ทั้งนี้ BodyArmor เป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Gatorade ที่มี Pepsi เป็นเจ้าของอยู่
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ในฐานะสินค้าอุปโภคบริโภค ราคาหุ้นของ #Coca-Cola สามารถทำผลงานได้ดีในช่วงของการระบาดเมื่อเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมอื่น โดยที่ราคาหุ้นในสัปดาห์นี้ยังสามารถตรึงอยู่ที่โซน all-time high เหนือ 61.00 ก่อนการรายงานรายได้ของไตรมาส 4 ซึ่งหากผลออกมาเกินความคาดหวังของตลาด จะมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ระดับ Fibo 161.8 ที่ 63.00 ในทางกลับกัน หากผลออกต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวังเอาไว้ จะมีแนวรับสำคัญอยู่ที่โซน low ของปี และเส้น MA50 ที่ 58.50
ในด้านของ #Pepsi ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่รองจาก Coca-Cola ในกลุ่มเครื่องดื่ม และเป็นรอง Nestle ในกลุ่มอาหาร ที่มีมูลค่าราคาตลาดอยู่ที่ $237.6 พันล้าน โดยการคาดการณ์ของ Zacks คาดว่าผลตอบแทนต่อหุ้นในไตรมาสที่ 4 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ $1.52 เทียบกับ $1.47 แต่ต่ำกว่า $1.79 ของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ซึ่งสะท้อนถึงผลตอบแทนต่อหุ้นที่โตขึ้น 3.4% ต่อปี ขณะที่ยอดขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ $24.32 พันล้าน เพิ่มขึ้นจาก $22.46 พันล้าน ช่วงเดียวกันของปีก่อน และ $20.18 พันล้านของไตรมาสก่อนหน้า
ด้วยความแตกต่างในการลงทุนในแบรนด์ ระบบการเข้าสู่ตลาด ห่วงโซ่อุปทาน และความสามารถด้านดิจิทัลเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงการกำหนดราคาที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ Pepsi ซึ่งมีสินค้าในมือหลายสิบแบรนด์ และ 23 แบรนด์หลักสามารถสร้างรายได้มากกว่า $1 พันล้านในแต่ละปี ซึ่งการสร้างรายได้ลักษณะนี้หมายถึงผลกำไรมหาศาลที่จะกลับเข้าสู่กระเป๋าของนักลงทุน อย่างไรก็ตามด้วยผลกระทบจากการหยุดชะงักอย่างยาวนานของห่วงโซ่อุปทาน ที่ตามมาด้วยแรงกดดันด้านราคา ทั้งด้านต้นทุนแรงงานและการขนส่ง คาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Pepsi เช่นเดียวกับ Coca-Cola
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ราคาหุ้นของ #Pepsi ได้ลดลงจากระดับ all-time high ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา จาก 176.50 มาอยู่ที่โซนแนวรับสำคัญ ที่ 171.00 ซึ่งเป็นการบรรจบกันของเส้น MA50 และระดับ Fibo 38.2 ดังนั้นหากรายได้ออกมาเกินคาด ราคาอาจเด้งขึ้นทดสอบ high เดิม 176.50 อีกครั้ง และจะมีแนวต้านถัดไปที่ระดับ Fibo 161.8 ที่ 183.00 อย่างไรก็ตาม หากรายได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวัง เราอาจได้เห็นการทดสอบโซน low ของปีแถว 167.25 อีกครั้ง
คลิกเพื่อดู ปฏิทินเศรษฐกิจ หรือ สัมมนาออนไลน์ฟรี
Chayut Vachirathanakit
Market Analyst – HF Educational Office – Thailand
คำเตือน: เนื้อหานี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อการสื่อสารการตลาดทั่วไป เพื่อเป็นการให้ข้อมูลข่าวสารเท่านั้น และไม่ถือเป็นการวิจัยเพื่อการลงทุนอิสระ ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของการสื่อสารนี้ที่ประกอบด้วย หรือควรถูกพิจารณาว่าประกอบด้วย คำแนะนำการลงทุน หรือการชักชวนลงทุน หรือการชักชวนเพื่อวัตถุประสงค์ของการซื้อหรือขายตราสารทางการเงินใดๆ ข้อมูลทั้งหมดถูกรวบรวมจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และทุกข้อมูลประกอบด้วยตัวบ่งชี้ผลงานในอดีต ไม่ได้เป็นการรับประกันหรือเป็นตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือสำหรับผลงานในอนาคต ผู้ใช้พึงทราบว่าการลงทุนใดๆ ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Leveraged มีความไม่แน่นอนในระดับหนึ่ง และการลงทุนในลักษณะนี้มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่สูง ซึ่งผู้ใช้ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ทางเราไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆ ที่เกิดจากการลงทุนโดยใช้ข้อมูลที่เกิดจากการสื่อสารนี้ การสื่อสารนี้จะต้องไม่ถูกผลิตซ้ำหรือแจกจ่ายต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเรา